กินข้าวโพดหวานต้ม ได้ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
โดย...คุณวัชรีย์ รัตนกาญจน์ อ.เมือง จ.สงขลาหลายคนคงเคยได้รับรู้มาบ้างแล้วว่า การกินข้าวโพดหวานมีประโยชน์หลายประการ
อาทิเช่น บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุง หัวใจและปอด ช่วยเจริญอาหาร และขับปัสสาวะ เป็นต้น สำหรับประโยชน์ของข้าวโพดหวานที่มากกว่านั้น เพื่อให้ทุกคนหันมา รับประทานข้าวโพดหวาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น การกินข้าวโพดหวานต้ม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งได้ การต้มทำให้ข้าวโพดหวาน ปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่บางคนเรียกกันว่า แอนตี้ออกซิแดนท์มาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “กรดเฟอรูลิก” (Ferulic acid ) ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูล อิสระจึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ของเซลล์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
ตามปกติร่างกายของคนเราต้องมีการเกิดสารอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย
ซึ่งร่างกายก็ต้องมีกลไกในการควบคุม จึงมีสารต้าน อนุมูลอิสระมาขจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อไม่ให้ไปทำลายเซลล์ หรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายอันจะเป็นบ่อเกิดแห่งโรคที่ได้ กล่าวไว้ข้างต้น แต่ต้องอยู่ในสภาพที่ร่างกายได้รับอาหาร ที่มีประโยชน์ถูกต้องสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีพิษภัย และอากาศดี แต่ใน ความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญในชีวิตจริงนั้น สภาพดังกล่าวแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว กลับมีสิ่งที่ส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่เกือบทุกชนิดเป็นแหล่งส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ สารพิษฆ่าแมลงแม้กระทั่งสเปรย์ระงับกลิ่นกาย หรือยารักษาโรคที่เรากิน ตามแพทย์สั่งก็เป็นสารส่งเสริมการเกิด อนุมูลอิสระทั้งสิ้น ร่างกายเราจึงต้องการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติจะมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ โดยมีตัวสำคัญ คือ กรดเฟอรูลิก ซึ่งในข้าวโพดหวานดิบ จะแฝง ตัวอยู่ในผนังเซลล์ ของเมล็ด เมื่อข้าวโพดหวานถูกต้มนานๆสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟอรูลิก จะถูกปล่อยออกมาในรูปที่เป็น อิสระ ดังนั้น เมื่อยิ่งต้มข้าวโพดหวานนานก็จะมีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ถูกปล่อยออกมามากขึ้น การต้มข้าวโพดหวาน ที่ 115 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาทีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ จะเพิ่มขึ้นจากข้าวโพดหวานดิบ 21 % ถ้าต้มนาน 25 นาที จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 44 % และถ้าต้มนาน 50 นาที จะได้เพิ่มถึง 53 % เมื่อวัดปริมาณเฉพาะกรดเฟอรูลิก ที่ถูกปล่อยออกมาพบว่า กรดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 240 % เมื่อต้มนาน 10 นาที เพิ่มขึ้น 550 % เมื่อต้มนาน 25 % และเพิ่มขึ้น ถึง 900 % เมื่อต้มนาน 50 นาที การต้มข้าวโพดหวานนาน ๆ อาจจะทำให้วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซีสูญเสียไปบ้าง แต่ข้าวโพด หวานก็ไม่ใช่แหล่งวิตามินซีที่สำคัญอยู่แล้ว ที่มา : จากวารสารเกษตรภาคใต้(ฉบับชาวบ้าน) ปีที่ 1 ฉบับที่4 กรกฎาคม-สิงหาคม 2551
ในเรื่องของ ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ
รายงานในวารสารสมาคมเคมี แห่งอเมริกา ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว จะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไปสู้กิน ดิบ ๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัว ล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไปเขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานาน ต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอัน เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นตาม ลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟอรูลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือ เวลานานขึ้น กรดเฟอรูลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้ มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเป รวมอยู่กับอย่างอื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟอรูลิกออกมาได้มากขึ้น ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/2456.html ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนหันมารับประทานข้าวโพดหวานต้มกันมาก ๆ ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังช่วยให้ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวานมีรายได้จากการผลิตข้าวโพดหวานสู่ท้องตลาดอีกด้วย ยิ่งหากว่าทางโรงเรียนต่าง ๆ ส่งเสริมให้ นักเรียนกินข้าวโพดหวานต้มสัปดาห์ละ 1 ฝักแล้ว ก็ยิ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ บ้านเราให้มีความตื่นตัวมากขึ้น ก็จะส่งผลไปยัง ธุรกิจการค้าการตลาด และรายได้ในด้านอื่น ๆ ให้ดีตามไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เนื่องจากเป็นอนุภาคไม่คงตัว จึงทำปฏิกิริยา กับโมเลกุลที่อยู่ติดกันได้อย่างรวดเร็ว เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งอาจก่อผลกระทบที่อันตรายต่อร่างกายได้
ตัวการก่อโรคร้าย
เมื่ออนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับรหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์ อาจทำให้เซลล์ กลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์ มะเร็ง ถ้าเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด จะกระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือด นำไปสู่โรคหัวใจ และหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ นอกจากนี้ อนุมูลอิสระยังมีส่วนทำให้เกิดต้อกระจก ภูมิต้านทานต่ำ โรคข้ออักเสบ และแก่ก่อนวัย บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระโดยป้องกันการเกิด ปฏิกิริยาออกซิเดชันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจาก สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างเองแล้ว ในวิตามิน แร่ธาตุ และพฤกษเคมีก็ มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ ได้ดี ที่มา : http://antioxidants.spaces.live.com/blog/cns!27309FD5F0BC7A90!140.entry